วันจันทร์

ปวดประจำเดือน

ปวดประจำเดือน
คำถาม? ผู้หญิงที่มีอาการปวดประจำเดือน ควรเลือกใช้ยาและดูแลตนเองอย่างไร
ระดูเป็นเรื่องธรรมชาติ
การมีระดูหรือมีรอบประจำเดือนถือเป็นเรื่องธรรมชาติของผู้หญิง ซึ่งเกิดจากการลอกหลุดของชั้นผิวด้านในของมดลูก และย่อยสลายเกิดเป็นเลือดไหลออกมาจากช่องคลอด ซึ่งเป็นปรากฎการณ์หรือภาวะปกติของหญิงวัยเจริญพันธุ์
ทั้งนี้เพราะก่อนหน้านั้นร่างกายของผู้หญิงได้มีการตระเตรียมสารอาหาร น้ำ และเกลือแร่ให้มาสะสมไว้ที่ผิวด้านในของมดลูก เพื่อเตรียมพร้อมเมื่อมีการปฏิสนธิระหว่างไข่และอวุจิ ทำให้เกิดตัวอ่อนขึ้น
ตัวอ่อนนี้จะเดินทางมาฝังตัวที่ผนังด้านในของมดลูกที่อุดมไปด้วยสารอาหารและเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น
แต่ถ้าในรอบประจำเดือนนั้นไม่มีการปฏิสนธิ ผนังมดลูกส่วนนี้ก็จะลอกออกมาเป็นรอบประจำเดือน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ
ความหลากหลาย...ที่เป็นปกติของระดู
เรื่องรอบประจำเดือนถือเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงแต่ละคนที่อาจแตกต่างกันไปบ้าง
ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะมีรอบประจำเดือนหรือระดูมาสม่ำเสมอทุกๆ 28 วัน แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของบางคนที่จะมีรอบประจำเดือนหรือระดูแตกต่างจากนี้ (เช่น บางคนอาจมา 30 วัน 45 วัน หรือ 60 วัน ก็เป็นได้) ซึ่งเป็นเรื่องปกติหรือเป็นเรื่องธรรมชาติของผู้นั้น เป็นความแตดต่างระหว่างบุคคล คล้ายๆ กับสิ่งอื่นๆของร่างกายที่มีความแตกต่างหลากหลายไม่เหมือนกัน (ดงเช่น รูปร่าง ที่มีเตี้ย มีสูง ผิวมีขาวมีดำ ผมตรงหรือหยักศก เป็นต้น) ขอให้ระดูมาสม่ำเสมอก็แล้วกัน แต่รายที่รอบประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ จะต้องไปปรึกษาแพทย์
เมื่อมีรอบประจำเดือน หรือการลอกหลุดของผนังด้านในของมดลูก ก็ทำให้เกิดสารพรอสตาแกรนดิน (prostagrandin) และสารอื่นๆ ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อย และบริเวณใกล้เคียง และอาจมีอาการปวดบิดเกร็งกล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะภายในได้ จึงทำให้เกิดอาการปวดรอบประจำเดือนขึ้น 
ปวดประจำเดือน...ปวดได้ทุกเดือน
ปวดประจำเดือนเป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทุกรอบของการมีระดูหรือรอบประจำเดือน
ประมาณว่ามีผู้หญิงถึงร้อยละ 70 จากผู้หญิงทุกคนรอบประจำเดือน
นั่นคือผู้หญิง 7 ใน 10 คน เคยปวดประจำเดือนมีประสบการณ์รับรู้ความเจ็บปวด และทนทุกข์ทรมานกับการปวดประจำเดือนมาแล้ว ซึ่งแตกต่างกัน บางคนก็เป็นมากหรือมีอาการรุนแรงจนกระทั่งเสียงาน ทำงานไม่ได้ แต่บางคนก็เป็นเพียงเล็กน้อย อาการไม่รุนแรง และสามารถดำเนินชีวิตหรือทำงานได้ได้ตามปกติ
อาการปวดประจำเดือนหรืออาการปวดท้องน้อย ที่สัมพันธ์กับการเป็นระดู อาจเกิดอาการปวดขึ้นมาก่อนหรือระหว่างการมีรอบประจำเดือน และอาจจะคงอยู่อีก 2-3 วัน ก็จะหายกลับเป็นปกติ และอาการจะกลับมาเป็นใหม่ในรอบประจำเดือนต่อๆไป
ส่วนใหญ่ของการปวดประจำเดือนเป็นชนิดไม่รุนแรง
บางรายอาจมีอาการรุนแรงมาก แต่บางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย
บรรดาผู้ที่ปวดประจำเดือน พบว่าส่วนใหญ่มีอาการเป็นโรคชนิดนี้เพียงเล็กๆน้อยๆ ซึ่งอาจหายหรอทุเลาลงได้เอง หรือได้รับยาแก้ปวดบางชนิดก็ช่วยให้อาการดีขึ้น และไม่ส่งผลรบกวนต่อการทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ
แต่มีผู้หญิงอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อยจะมีอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง มักมีรอบประจำเดือนมามากร่วมด้วย จนกระทั่งส่งผลกระทบรบกวนต่อการทำงาน ทำให้ทำงานตามปกติไม่ได้ หรือต้องหยุดงานหรือขาดเรียนได้
เมื่อปวดประจำเดือน มักมีอาการปวดบิดๆ บริเวณท้องน้อย หรือบริเวณช่องท้องตรงกลาง ใต้สะดือลงไปถึงหัวหน่าว บางรายอาจปวดบริเวณเอว หลัง หรือบั้นท้าย และบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดหัวได้
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อย มีรอบประจำเดือนมาปริมาณมาก มีรอบประจำเดือนมาหลายวัน สูบบุหรี่ และความเครียด ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดอาการปวดประจำเดือนมากยิ่งขึ้น
ภาวะที่มีรอบประจำเดือน มีการสูญเสียเลือดทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายของผู้หญิงลดลงต่ำ เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย และที่พบบ่อยๆ คือ อาการไข้ ตัวร้อน ร่วมกับการมีรอบประจำเดือนซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ไข้ทับระดู
ชนิดของการปวดประจำเดือน
การปวดประจำเดือนอาจแบ่งได้ 2 ชนิด ใหญ่คือ ปวดประจำเดือนชนิดไม่รุนแรง (Primary Dysmenorrhea) และปวดประจำเดือนชนิดรุนแรง (Secondary Dysmenorrhea)

1. ปวดประจำเดือนชนิดไม่รุนแรง
ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มีอาการปวดประจำเดือนจะเป็นการปวดชนิดที่ 1 ประมาณกันว่าร้อยละ 70-80 ของผู้ที่ปวดประจำเดือนจะเป็นภาวะปวดประจำเดือนชนิดที่ไม่รุนแรงนี้ โดยมากมักมีอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลางเมื่อได้พักผ่อน รักษาดูแลด้วยตนเองหรือได้รับยาบางชนิด อาการปวดก็จะทุเลาเบาบางลง สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
มักเริ่มมีอาการปวดประจำเดือนตั้งแต่เป็นวัยรุ่นหรือเข้าสู่วัยสาว โดยจะเริ่มปวดรอบประจำเดือนหลังจากเริ่มมีรอบประจำเดือนครั้งแรกถึง 3 ปี หลังเริ่มมีรอบประจำเดือน และระดับการปวดรอบประจำเดือนอาจมากขึ้นจนสูงสุดในช่วงอายุระหว่าง 15-25 ปี และเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น อาการจะเริ่มดีขึ้น บางรายจะหายไปเองเมื่อแต่งงานหรือมีบุตร
สาเหตุของการปวดประจำเดือนชนิดนี้ คือปากมดลูกหรือมดลูกตึงแน่นเกินไป การไหลเวียนของเลือดยังไม่ดีพอ หรทอมีการแปรปรวนของฮอร์โมน
2. ปวดประจำเดือนชนิดรุนแรง
การปวดรอบประจำเดือนชนิดนี้ มักมีอาการปวดรุนแรงถึงรุนแรงมาก จนทำให้รบกวนการทำงาน หรือเรียนหนังสือ ทำให้ขาดงานหรือขาดเรียนได้ และเมื่อใช้ยาบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ก็ได้ผลเพียงเล็กน้อย หรือไม่ได้ผลเลย
ปวดประจำเดือนชนิดรุนแรง หรือปวดประจำเดือนทุติยภูมิ มักเริ่มมีอาการครั้งแรกเมื่ออายุตั้งแต่ 25 ปี ขึ้นไป ซึ่งมีสาเหตุจากความผิดปกติของอวัยวะภายใน เช่น ผนังมดลูกงอกผิดที่ (endometriosis) เนื้องอกที่มดลูก ความผิดปกติของมดลูก หรือความผิดปกติของรังไข่ เป็นต้น
ปวดประจำเดือนชนิดนี้พบได้ประมาณร้อยละ 20-30 ของผู้หญิงที่มีอาการปวดประจำเดือน ซึ่งควรไปปรึกษาแพทย์ หรือสูติ-สารีแพทย์ เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ

การรักษา
การดูแลรักษาอาการปวดประจำเดือนง่ายๆ ด้วยการใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบ ณ ตำแหน่งที่มีอาการปวด หรือจะเลือกใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล แอสไพริน กรดมีเฟนามิก ไอบูโพรเฟน เป็นต้น
ในรายที่มีอาการปวดเพียงเล็กน้อย ไม่รุนแรง การใช้ยาพาราเซตามอล ขนาดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม หรือ แอสไพริน เม็ดละ 300 มิลลิกรัม ครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน หรือทุก 4-6 ชั่วโมง (เวลาปวดรอบเดือน) ก็สามารถบรรเทาอาการปวดรอบประจำเดือนได้เป็นอย่างดี
แต่รายที่มีอาการระดับปานกลางถึงมากอาจแนะนำให้ใช้ยากรดเฟนามิก เม็ดละ 250-500 มิลลิกรัม หรือ ไอบรูโพรเฟน 200-400 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหารทันที ก็จะได้ผลดีเช่นกัน
เมื่ออาการทุเลาเบาบางลงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกินยาต่อไปอีก สามารถหยุดการใช้ยาได้เลย เพราะยาชนิดนี้เป็นยาบรรเทาอาการเท่านั้น
นอกจากนี้บางคน อาจมีอาการปวดประจำเดือนมาเป็นประจำจนสามารถคาดเดา ทำนาย หรือพยากรณ์ วันเวลาและการเกิดอาการปวดประจำเดือนได้ ซึ่งผู้ป่วยอาจใช้ยาแก้ปวดในระยะเวลาก่อนที่จะมีการปวดประจำเดือนเพียงเล็กน้อย เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าว พร้อมทั้งไม่ต้องทำให้เกิดอาการปวดก่อนที่จะเริ่มการใช้ยาได้
ถึงตอนนี้คงพอแยกแยะชนิดของการปวดประจำเดือนได้แล้ว ว่าแบบใดเป็นชนิดที่ไม่รุนแรง (การปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ) พร้อมทั้งให้การดูแลรักษาเบื้องต้นด้วยตนเองได้ และถ้าเป็นชนิดรุนแรง (ชนิดที่ 2) ซึ่งควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้ยังได้ทราบถึงยาแก้ปวดและยาคลายกล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะภายในที่ใช้ตัวเดียว หรือใช้ร่วมกันสำหรับบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ตลอดจนวิธีใช้ที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของการใช้ยา
หากมีคำถามหรือปัญหา เรื่องยาและสุขภาพ ก็สามารถไปปรึกษากับเภสัชกรชุมชน ที่ประจำอยู่ที่ร้านยาใกล้บ้าน ทั้งนี้เพื่อจะได้รับการดูแลรักษา แก้ปัญหาสุขภาพอย่างทันท่วงที ใกล้ตา ใกล้ใจ และถ้ามีความจำเป็นเภสัชกรก็จะให้คำแนะนำให้ไปพบแพทย์หรือรับการตรวจเพิ่มเติมตามความเหมาะสมต่อไป

ขอบคุณ  www.pooyingnaka.com

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น